โรคเบาหวาน "ไม่กินหวาน" ก็เสี่ยงเป็นได้
โรคเบาหวาน คือ ภาวะปกติเมื่อรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ระดับนํ้าตาลในเลือดสูงขึ้น
หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนมาช่วยลดระดับนํ้าตาลในเลือดให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
โดยอินซูลินจะนำพานํ้าตาลเข้าสู่เซลล์
โรคเบาหวาน หมายถึง โรคที่มีระดับนํ้าตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง
เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนหลังฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ
หรือภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 6 ชนิด (ตามองค์การอนามัยโลก) เรามาดูชนิดของเบาหวานกัน
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 DM) : ผลจากการทำลายเบต้าเซลล์ที่ตับอ่อนจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มักพบในคนอายุน้อย รูปร่างไม่อ้วน อาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (Ketoacidosis)
เป็นอาการแสดงแรกของโรคจำเป็นต้องรักษาด้วยอินซูลิน (Insulin) ภายใน 12 เดือนหลังการวินิจฉัย
อาจตรวจทางห้องปฏิบัติการสนับสนุน (เช่นระดับ c-peptide , autoantibody ต่างๆ) - โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 DM) : 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด
มีภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับการผลิตอินซูลินที่เหมาะสมบกพร่อง มักพบในอายุ 30 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วม หรืออ้วน
พบมากขึ้นในหญิงที่มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาการมักไม่รุนแรง ค่อยเป็นค่อยไป มักมีประวัติครอบครัวเป็น - โรคเบาหวานชนิดผสมระหว่างชนิดที่ 1 และ 2
a. เบาหวานที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน (Slowly evolving immune mediated diabetes)
-
- i. อาการคล้ายเบาหวานชนิดที่ 2 ยังไม่ต้องใช้อินซูลินในช่วง 6-12 เดือนแรกหลังการวินิจฉัย
แต่เบต้าเซลล์ของตับอ่อนเสื่อมเร็วกว่า
ii. มักไม่อ้วนและไม่มีอาการแสดงของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
iii.ตรวจพบ autoantibodies
- i. อาการคล้ายเบาหวานชนิดที่ 2 ยังไม่ต้องใช้อินซูลินในช่วง 6-12 เดือนแรกหลังการวินิจฉัย
b. เบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Ketosis prone type 2 diabetes)
-
- i. พบภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนคั่ง โดยไม่มีภาวะกดดัน (stress) รุนแรงร่วม
แต่ต่อมาอาจมีภาวะสงบจากโรคเบาหวานได้นบางราย
ii. ชื่อว่ามีความผิดปกติของเบตาเซลล์ของตับอ่อนอย่างรุนแรงชั่วคราวเป็นระยะสั้นๆ
iii.ตรวจไม่พบ autoantibodies
- i. พบภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนคั่ง โดยไม่มีภาวะกดดัน (stress) รุนแรงร่วม
-
Autoantibodies คืออะไรส่งผลกระทบอะไรต่อโรค
Autoantibody หมายถึง ภูมิคุ้มกันร่างกายผู้ป่วยสร้างขึ้นต่อส่วนของเซลล์ตนเองตนเอง โดยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
สามารถตรวจพบปฏิกิริยาต่อส่วนของเซลล์ไอส์เล็ต (ทำหน้าที่สร้างอินซูลินจากตับอ่อน) ได้แก่ antibody ต่อ GAD , IA2 และ ZnT8 (Anti-GAD, Anti-
IA2, Anti ZnT8) เป็นต้น
- 4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ
- a. โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติบนสายพันธุกรรมเดี่ยวที่ควบคุมการทำงานของเบตาเซลล์
b. โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติบนสายพันธุกรรมที่ควบคุมการทำงานของอินซูลิน
c. โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคที่ตับอ่อน
d. โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคของต่อมไร้ท่อ
e. โรคเบาหวานที่เกิดจากยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น pentamidine, glucocorticoids, gamma-interferon,
phenytoin, nicotinic acid, diazoxide, vacor
f. โรคเบาหวานที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น congenital rubella, CMV
g. โรคเบาหวานที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่พบไม่บ่อย
h. โรคเบาหวานที่พบร่วมกับกลุ่มอาการต่าง
- a. โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติบนสายพันธุกรรมเดี่ยวที่ควบคุมการทำงานของเบตาเซลล์
- 5. โรคเบาหวานที่วินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์
6. โรคเบาหวานที่ไม่สามารถแยกชนิดได้เมื่อได้รับการวินิจฉัย
ปัจจัยเสี่ยงโรคเบาหวาน
หากมีข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ควรรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน
- อายุ 35 ปีขึ้นไป
- อ้วน (BMI >/= 25 กก/ตรม. หรือเส้นรอบเอว >/= 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ >/= 80 ซม. ในผู้หญิง หรือ
รอบเอวมากกว่าส่วนสูงหาร 2) และมี พ่อ แม่ พี่ หรือ น้อง เป็นโรคเบาหวาน - เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือกำลังรับประทานยาควบคุมความดันโลหิต
- มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ >/= 250 มก./ดล. หรือ HDL < 35 มก./ดล.)
- มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือเคยคลอดบุตรที่น้ำหนักตัวเกิน 4 กิโลกรัม
- เคยได้รับการตรวจพบเป็นภาวะก่อนเบาหวาน (impaired glucose tolerance หรือ impaired fasting glucose)
- มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
- กลุ่มอาการถุงนํ้ารังไข่หลายใบ
- โรคอ้วนรุนแรง
- ผู้ที่เป็น HIV/ AIDS
อาการของโรคเบาหวาน
- แรกเริ่มมักไม่มีอาการจึงแนะนำให้รับการตรวจคัดกรองในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง
- อาการที่เกิดขึ้นได้ เช่น กระหายนํ้าบ่อย ปัสสาวะบ่อยและมาก นํ้าหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เป็นแผลง่ายหายยาก ชาปลายมือปลายเท้า
- อาการจากภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันจากนํ้าตาลในเลือดสูง
- อาการจากภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนที่ไต ภาวะแทรกซ้อนที่ตา ภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดหัวใจและสมอง ภาวะแทรกซ้อนที่เท้า
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
วิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
- การตรวจระดับพลาสมากลูโคสตอนเช้าหลังอดอาหารข้ามคืน มากกว่า 8 ชั่วโมง มีค่า >/= 126 มก./ดล.
- การตรวจระดับพลาสมากลูโคส ณ เวลาใด ๆ มีค่า >/= 200 มก./ดล.
- การตรวจความทนต่อนํ้าตาลกลูโคส ระดับพลาสมากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงหลังดื่มนํ้าตาลกลูโคส มีค่า >/= 200 มก./ดล.
- การตรวจวัดระดับ A1C ณ เวลาใดๆ มีค่า >/= 6.5% (อาจมีความคลาดเคลื่อนหากมีโรคเลือดบางประเภท ไม่มีม้าม หรือโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย)
กรณีมีอาการของโรคเบาหวาน เช่น กระหายนํ้าบ่อย ปัสสาวะบ่อยและมาก นํ้าหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ สามารถวินิจฉัยได้ตามเกณฑ์
กรณีหากไม่มีอาการ ให้ตรวจซํ้าด้วยวิธีการเดิม เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนฉับพลันของโรคเบาหวาน
ภาวะนํ้าตาลต่ำในเลือด
เกณฑ์วินิจฉัย
- ระดับพลาสมากลูโคส </= 70 มก./ดล. + มีอาการของภาวะนํ้าตาลตํ่าในเลือด +
อาการหายไปเมื่อระดับนํ้าตาลในเลือดสูงขึ้น
อาการและอาการแสดง
- อาการออโตโนมิค ได้แก่ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกหิว รู้สึกร้อน เหงื่อออก มือสั่น รู้สึกกังวล
ความดันโลหิตซิสโตลิคสูง กระสับกระส่าย คลื่นไส้ และชา - อาการสมองขาดกลูโคส ได้แก่ อ่อนเพลีย รู้สึกร้อนท้องที่ผิวหนังเย็นและชื้น อุณหภูมิกายตํ่า มึนงง
ปวดศีรษะ การทำงานสมองด้าน cognitive บกพร่อง ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง สับสน ไม่มีสมาธิ
ตาพร่ามัว พูดช้า ง่วงซึม หลงลืม พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อัมพฤกษ์ครึ่งซีก หมดสติ และชัก
การป้องกัน
- เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดทั้งผู้ป่วย ญาติ ผู้ใกล้ชิด และผู้ดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีอาการข้างต้น
- ตรวจวัดระดับนํ้าตาลในเลือดด้วยตนเอง (SMBG)
- การลดความเข้มงวดของเป้าหมายในการรักษาระดับนํ้าตาล
- ค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อาการเกิดภาวะนํ้าตาลตํ่าในเลือด และขจัดหรือลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำได้ ได้แก่
การงดใช้หรือลดขนาดของอินซูลิน และ/หรือยากลุ่ม sulfonylurea เป็นต้น
การรักษาเบื้องต้น กรณีภาวะนํ้าตาลตํ่าในเลือดระดับไม่รุนแรง-ปานกลาง
- รับประทานคาร์โบไฮเดรท 15 กรัม ได้แก่ กลูโคสเม็ด 3 เม็ด นํ้าส้มคั้น 180 มล. นมสด 240 มล.
นํ้าอัดลม 180 มล. นํ้าผึ้ง 3 ชช. ขนมปังปอนด์ 1 แผ่นสไลด์ ข้าวต้มหรือโจ๊ก ½ ถ้วยชาม - ติดตามระดับกลูโคสในเลือดที่ 15 นาที รับประทานปริมาณเดิมซํ้าถ้าระดับกลูโคสยังคง < 70 มก./ดล.
- ถ้าอาการดีขึ้น และกลูโคสในเลือด > 80 มก./ดล. ให้รับประทานต่อเนื่องทันทีเมื่อถึงเวลาอาหาร
ภาวะนํ้าตาลในเลือดสูง
นํ้าตาลในเลือดสูงชนิด Diabetic ketoacidosis (DKA)
- เกิดจากร่างกายขาดอินซูลินอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถนำนํ้าตาลในเลือดที่สูงไปใช้เป็นพลังงานได้
จึงมีการสลายไขมันมาใช้พลังงานแทนนํ้าตาล การสลายไขมันทำให้เกิดกรดไขมัน
และถูกเปลี่ยนเป็นสารคีโตน - อาการภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่ง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ เหนื่อย หายใจหอบลึก สับสน ซึม
นํ้าตาลในเลือดสูงชนิด hyperglycemic hyperosmolar state (HHS)
- เกิดจากมีปัจจัยทำให้ ฮอร์โมนต้านอินซูลินสูงขึ้น
ส่งผลให้ร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอในการนำนํ้าตาลไปใช้เป็นพลังงาน
แต่ยังพอมีอินซูลินในการยับยั้งการสลายไขมัน พบระดับนํ้าตาลในเลือดสูงมาก - อาการซึม สับสน ชัก
การป้องกัน
- รับประทานยาเบาหวานและ/หรือ ฉีดยาอินซูลินสมํ่าเสมอ
- หากมีอาการกระหายนํ้า ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย นํ้าหนักลด แนะนำให้ดื่มนํ้าเปล่า
เจาะตรวจระดับนํ้าตาลปลายนิ้ว ตรวจคีโตนในปัสสาวะ หากอาการไม่ดีขึ้น
หายใจหอบเหนื่อยให้รีบมาโรงพยาบาล - เฝ้าระวังภาวะที่อาจกระตุ้นให้นํ้าตาลในเลือดสูง เช่น การติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนที่ไต
- - ระยะเริ่มแรกตรวจพบโดยการตรวจอัลบูมินในปัสสาวะ
- - ตรวจปัสสาวะและเลือด (spot UACR และประเมิน eGFR) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- - การป้องกัน
- ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ
- ควบคุมความดันโลหิตให้ได้ตามเป้าหมาย
- ประเมินการใช้ยาที่มีประโยชน์ในการลดการลุกลามของโรคไตเรื้อรังหากมีข้อบ่งชี้โดยแพทย์
- จำกัดโปรตีนในอาการไม่เกิน 0.8 กรัม/กก. ของนํ้าหนักตัวต่อวัน (คำนวณจากอาหารแลกเปลี่ยน)
- ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการทดแทนไต ควรเพิ่มปริมาณโปรตีนในอาหารเพื่อชดเชยการสูญเสียพลังงานจากโปรตีนไปกับการฟอกไต
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสารที่มีอันตรายต่อไต
โรคแทรกซ้อนที่ตา
- - ตรวจตาปีละ 1 ครั้ง โดยจักษุแพทย์เพื่อประเมินภาวะจอตาผิดปกติจากเบาหวาน และภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความคมชัดในการมองเห็นได้
- - การป้องกัน
- ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ
- ควบคุมความดันโลหิตให้ได้ตามเป้าหมาย
- ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย
- พบจักษุแพทย์หากตรวจพบความผิดปกติ
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
- การสูบบุหรี่
- ประวัติของโรคหลอดเลือดหัวใจในครอบครัว
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
- โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย
- การตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะ
- - ปัจจัยเสี่ยง
- - ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจ เอกซเรย์ปอด ในกรณีที่มีอาการบ่งชี้ หรือปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือผู้สูงอายุ
- - การป้องกัน
- ระดับปฐมภูมิ (เมื่อยังไม่ปรากฏอาการและอาการแสดง)
- ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ
- ควบคุมระดับความดันโลหิตตํ่ากว่า 130/80 มม.ปรอท
- ควบคุมระดับไขมันในเลือด LDL ตามเป้าหมายขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย
- เลิกสูบบุหรี่ และเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
- ระดับทุติยภูมิ (สำหรับผู้ป่วยที่มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองแล้ว)
- ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดโดยระวังไม่ให้เกิดผลข้างเคียง เลือกใช้ยากลุ่มที่ลดความเสี่ยงการเกิดโรคซํ้าโดยแพทย์
- ควบคุมระดับความดันโลหิตตํ่ากว่า 130/80 มม.ปรอท
- ควบคุมระดับไขมันในเลือด LDL ตามเป้าหมายขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย
- เลิกสูบบุหรี่ และเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
- การใช้ยาต้านเกร็ดเลือด
โรคแทรกซ้อนที่เท้า
- - ตรวจวัดระดับความรู้สึกบริเวณฝ่าเท้าและคลำชีพจรที่เท้า เพื่อประเมินภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- - การป้องกัน
- ค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้า
- อาการ : แผลที่เท้า ชา แสบร้อน ปวดแปลบที่เท้า เท้าบวม ผิวหนังเปลี่ยนสี ปวดบริเวณน่องหลังจากเดินได้ระยะหนึ่ง
- เท้าผิดรูป
- ชีพจรเท้าเบาลง หรือตรวจ ABI </= 0.9 หรือ >/=1.3
- ตรวจเท้าอย่างสมํ่าเสมอ
- ใส่รองเท้าที่เหมาะสมกับรูปเท้า หากพบความเสี่ยง
- การดูแลเท้า
-
- ควบคุมระดับนํ้าตาลให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย
- ทำความสะอาดเท้าทุกวันด้วยนํ้าสะอาดและสบู่อ่อน แล้วเช็ดเท้าให้แห้งทันที โดยเฉพาะตามซอกนิ้ว
- สำรวจเท้าและเล็บเท้าอย่างละเอียดทุกวัน
- สวมถุงเท้าหรือถุงน่องก่อนใส่รองเท้าเสมอ
- เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน
- ตรวจดูสิ่งแปลกปลอมก่อนใส่รองเท้าทุกครั้ง
- ตัดเล็บตามแนวขอบเล็บเท่านั้น และใช้ตะไบลบรอยคม
- ควรใส่ถุงเท้าก่อนนอนถ้ามีอาการเท้าเย็นในเวลากลางคืน
- ถ้าผิวแห้งควรใช้ครีมหรือโลชั่น ยกเว้นซอกนิ้ว
- หากพบความผิดปกติควรพบแพทย์
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเบาหวาน
- โภชนบำบัด ; เน้นอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียน อาหารรูปแบบแดช อาหารที่เน้นพืชผัก อาการไขมันตํ่า เป็นต้น ลดการบริโภคนํ้าตาล และธัชชาติขัดสี
- ลดนํ้าหนักหากมีดัชนีมวลกายและรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐาน
- แบบแอโรบิคระดับหนักปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนัก 75 นาที/สัปดาห์ อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และไม่งดออกกำลังกายติดต่อกันเกิน 2 วัน
- แบบแรงต้าน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
- ในผู้สูงอายุ ควรฝึกความยืดหยุน และฝึกการส่งตัว 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ เช่น โยคะ ไทชิ
- เดินอย่างน้อย 10,000 ก้าวต่อวัน
- - เข้าใจความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเบาหวาน
- - ปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
- - ออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ
- - ห้ามสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบในรูปแบบอื่น
- - งดดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าดื่มเป็นครั้งคราว ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 1 ดื่มมาตรฐาน/วัน สำหรับผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดื่มมาตรฐาน/วัน สำหรับผู้ชาย (1 ดื่มมาตรฐานมีแอลกอฮอล์ปริมาณ 12-14 กรัม)
- - คัดกรองภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (STOP-BANG)
- - รักษาต่อเนื่องโดยแพทย์เพื่อควบคุมระดับนํ้าตาล และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- - ตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อน และโรคร่วมเป็นประจำตามคำแนะนำ
- - รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี และวัคซีนตามเกณฑ์อายุ ได้แก่วัคซีนปอดอักเสบ และวัคซีนงูสวัดในผู้สูงอายุ
โรคเบาหวานระยะสงบ
- - โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป
- - ควบคุม HbA1C < 6.5% หรือ ผลตรวจจากเครื่องตรวจนํ้าตาลชนิดต่อเนื่อง (CGM) ได้ค่า GMI < 6.5% หรือ FPG(FBS) < 126 มก/ดล. อย่างน้อย 2 ครั้ง ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน โดยไม่ต้องใช้ยา
- - ไม่ใช่การหาย อาจกลับเป็นซํ้าได้จึงควรติดตามต่อเนื่องหลังเข้าสู่ระยะสงบ และตรวจคัดกรองโรคแทรกซ้อนอย่างต่อเนื่องเหมือนผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกอายุรกรรม
สถานที่
ชั้น 1
เวลาทำการ
วันจันทร์-ศุกร์ : 08.00 น. - 20.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ : 09.00 น. - 20.00 น.
เบอร์ติดต่อ
055-219-307 ต่อ 1188